อัยการไทยในอดีตกับ..ราชาแห่งแ
ใครจะคิดมาก่อนว่า ต้นตระกูลอัยการไทยที่แท้คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์อันรุ่งโรจน์ หรือ "หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี" อัยการคนแรกของประเทศไทย ฉะนั้น อัยการรุ่นลูกรุ่นหลาน จึงฟังสมาทานแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ชอบ เพื่อรักษาสังสิทธิ์สืบต่ออย่างไม่ขาดสาย
ก่อนเป็นหลวงยกกระบัตรหรือตำแหน่งอัยการใน
ปัจจุบันนั้น "ทองด้วง" รับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในพระเจ้าแผ่นดินที่ 33 เจ้าฟ้าอุทุมพร ซึ่งปรากฏพระนามเรียกเป็นสามัญว่า ขุนหลวงดอกมะเดื่อ ครั้นต่อมาไปรับราชการเป็นหลวงยกกระบัตรราชบุรี เมื่ออายุเพียง 29 ปี ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ดำรงยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหึมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศวรราชสุริยวงศ์ องค์อัครบาทมูลิกากร บวรรัตนปริณายก เอกอัครเสนาบดี เพื่อให้เห็นว่าเป็นเชื้อสายของพระนเรศวรเจ้าก่อนเป็นหลวงยกกระบัตรหรือตำแหน่งอัยการใน
ประวัติศาสตร์หน้าแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มนับตั้งแต่วันที่หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี (ทองด้วง) ได้ตัดสินใจลงเรือจากตำบลอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม มาตามคลองสามสิบสองคต เพื่อเข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตามคำชักชวนของพระมหามนตรี (บุญมา) สมุหพระตำรวจในขวาผู้เป็นน้องชาย และภายหลังนั้นอีก 15 ปี คำทำนายของหมอดูที่ทำนายทักพระภิกษุสินและพระภิกษุทองด้วงไว้เมื่อปีพ.ศ.2299 ว่าจะมีบุญวาสนาถึงขั้นได้เป็นพระมหากษัตริย์ทั้งสองรูป ก็เป็นจริงตามคำทำนายขึ้นมา เมื่อมุขมนตรีและประชาราษฎรได้พร้อมใจกันกราบทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้ามหากษัตริย์ศึก ให้เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ ทำการพระพิธีปราบดาภิเษก เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 4 ค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2325
ทว่าคนไทยถือเอาวันที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพกลับจากเขมรมาถึงกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 เป็นวันสำคัญของพระราชวงศ์จักรี และถือวันที่ 6 เมษายน เป็นวัน "จักรี"
ตําแหน่งยกกระบัตรหรืออัยการถือเป็นตำแหน่งที่ปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญโดยจะเห็นได้จากพระไอยการอาชญาหลวง ซึ่งประกาศใช้ ณ แผ่นดินพระเจ้าอู่ทองรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.1895 บัญญัติถึงการแต่งตั้งยกกระบัตรเอาไว้ในมาตรา 39 ว่า "ถ้าจะตั้งยกกระบัตรให้ตั้งผู้มีตระกูลอันเป็นราชการ รู้ขนบธรรมเนียมในเมืองหลวงไป" และผู้จะแต่งตั้งยกกระบัตรคือ เจ้าพระยาธรรมบดี เสนาบดีกระทรวงวังหนึ่งในจตุสดมภ์ โดยใช้ตราเทพยดาขี่พระนนธิการ (พระโค) และทุกปีจะต้องเข้ามารับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีกด้วย
อำนาจหน้าที่ของยกกระบัตรในสมัยนั้นได้บัญญัติไว้ในพระไอยการราชอาญาหลวง พ.ศ.1895 มากมายหลายประการ อาทิ ด้านบริหารคอยดูผิดและชอบของเจ้าเมือง กำกับดูการปฏิบัติราชการของกรรมการเมือง การกำกับดูแลราชการทุกกระทรวงในเมืองนั้น ให้เป็นไปโดยชอบ และถ้ายกกระบัตรจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเมื่อใด เจ้าเมืองจะห้ามไม่ได้ (ถือเป็นสิทธิพิเศษ)
หน้าที่ด้านตุลากร...หากราษฎรจะร้องทุกข์ (ฟ้องคดี) ให้ร้องฟ้องแก่ยกกระบัตร เมื่อยกกระบัตรรับคำร้องทุกข์แล้ว ให้สั่งเรื่องนั้นไปพิจารณาด้วยความยุติธรรม (คือตุลาการ) และถ้าตุลาการผู้ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาความของราษฎรตามที่ยกกระบัตรส่งไปพิจารณา ละเว้นให้เนิ่นช้าจนเป็นที่เดือดร้อนแก่ราษฎร ให้ยกกระบัตรแจ้งให้เจ้าเมืองทราบ
หน้าที่ด้านธุรการ...เจ้าเมืองจะจัดงานพระราชสิทธิ์พิธีเสกข้าวเผาข้าว การมหรสพงานประเพณีต่างๆ ต้องให้ยกกระบัตรรู้เห็นด้วย
และด้านสงคราม...ถ้าเจ้าเมืองไปสงคราม ให้ยกกระบัตรไปด้วย ทั้งให้ยกกระบัตรรับผิดชอบควบคุมดูแลราชการสงครามด้วย
จะเห็นว่าอำนาจหน้าที่ของยกกระบัตรในสมัยนั้น โดยเฉพาะด้านกระบวนการยุติธรรมมีส่วนคล้ายคลึงกับอำนาจหน้าที่ของอัยการในปัจจุบัน เพราะเป็นผู้กลั่นกรองคดีแล้วส่งให้ตุลาการ (ศาล) ไต่สวนโดยให้ราษฎรเป็นโจทก์เอง เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีความคิดเรื่องให้แผ่นดินเป็นโจทก์ (เริ่มมีเมื่อ 100 ปีเศษ)
เมื่อพิจารณาจากกฎหมายเก่าจะเห็นได้ว่ายกกระบัตรในอดีตไม่ต่างกับอัยการในปัจจุบัน เพราะมีอำนาจตรวจสอบพิจารณาสั่งฟ้อง ไม่ฟ้องอรรถคดี อันเป็นการใช้หลักการถ่วงดุลอำนาจฝ่ายตุลาการ เพื่อให้การพิจารณาคดีได้ผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบและยุติธรรม ตามกฎหมาย โดยเฉพาะบทที่ 39 "ถ้าพิพากษาตัดสินคดีแล้วโจทก์และจำเลยติดใจว่าคำพิพากษาไม่ตรงคำหา (คำฟ้อง) และคำให้การ ให้ยกกระบัตรเสนอให้พิพากษาใหม่ให้ชอบด้วยสำนวน ฯลฯ"
บทที่ 47 ยังได้บัญญัติว่า ให้ยกกระบัตรสอดแนมดูตุลาการผู้พิจารณาคดีว่าได้ทำตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าปรากฏว่าตุลาการมิได้ทำตามกฎหมายให้ยกกระบัตรมีหนังสือแจ้งไปยังลูกขุน ณ ศาลา เพื่อนำความกราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ถ้ายกกระบัตรมิได้สอดแนมดูแล้วมีผู้ฟ้องร้องว่าตุลาการมิได้ทำตามกฎหมาย หากพิจารณาเป็นความจริงตามที่ฟ้องร้อง ยกกระบัตรมีความผิดด้วย
ความสำคัญในเรื่องนี้ ลาลูแบร์อัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศสผู้เดินทางมากรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ.2230 ได้จดหมายเหตุมีข้อความกล่าวถึง "ออกพระยกกระบัตร" ไว้ว่า "เป็นทำนองอัยการแผ่นดิน มีหน้าที่สอดแนมความเคลื่อนไหวของเจ้าเมือง ตำแหน่งนี้ไม่สืบทอดทายาท ในหลวงทรงแต่งตั้งจากบุคคลที่ทรงไว้พระราชหฤทัย"
ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งยกกระบัตรในสมัยนั้นมีบทบาทเพียงใด โดยเฉพาะข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ลงวันที่ 17 ก.พ. ร.ศ.116 กำหนดให้พนักงานรักษาพระอัยการ (ยกกระบัตร) มีอำนาจหน้าที่ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา คดีแพ่งนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับคดีของรัฐบาล สาธารณประโยชน์ หรือเกี่ยวกับความเรียบร้อยของบ้านเมือง ส่วนคดีอาญานั้นให้มีอำนาจตั้งแต่การสืบสวนหาตัวโจรผู้ร้าย ไต่สวนหาพยานหลักฐาน และฟ้องร้องต่อศาล อีกทั้งให้คอยตรวจตราคำพิพากษาของศาล หากเห็นว่าตัดสินไม่ถูกต้องก็ให้อุทธรณ์คัดค้าน ในการสืบสวนหาโจรผู้ร้ายให้กองกำลังตำรวจและทหารช่วยเหลือได้ และเป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอ ตำรวจและราษฎรจะต้องแจ้งเหตุเรื่องโจรผู้ร้ายตลอดจนพยานหลักฐานให้พนักงานรักษาพระอัยการทราบโดยเร็ว ฯลฯ
"ยกกระบัตร" ในสมัยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น จึงมีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศ ซึ่งนักคิดนักกฎหมายในยุคหลังก็มีแนวคิดที่จะเจริญรอยตามให้ใกล้เคียงกับอำนาจหน้าที่ยกกระบัตรในครั้งนั้น แต่ก็ไร้ผลด้วยเหตุเพราะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเวลาต่อมา
ตำแหน่งยกกระบัตรได้ถูกยกเลิกไปโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้วประกาศรวมพนักงานอัยการเป็นทางราชการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2459 (ร.ศ.135) ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีสาระเปลี่ยนแปลงตำแหน่งยกกระบัตรมณฑลและเมือง เป็นอัยการมณฑลและเมือง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
คนรุ่นหลังน้อยคนนักที่จะคิดว่าต้นตระกูลของอัยการไทยคนแรกคือ "หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี" หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์พระองค์แรกแห่งพระบรมราชวงศ์จักรีอันเกรียงไกร
ต่อมาพระเจ้าบวรวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ซึ่งนักกฎหมายทุกคนขนานพระนามว่าเป็น "บิดาแห่งกฎหมายไทย" กรมหลวงราชบุรีจึงเป็นผู้สืบสายพระโลหิตนักกฎหมายโดยตรงจาก "หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี" ผู้เป็นต้นตระกูลอัยการไทยอันเป็นสิ่งภาคภูมิใจสำหรับอัยการรุ่นหลังทุกผู้ทุกคนอย่างสุดจะหาใดปานมิได้
ดังนั้น การจะยกระดับ "อัยการไทย" ในปัจจุบันให้มีบทบาทสำคัญดังเช่น "ยกกระบัตร" ในอดีตกาล อาทิ การมีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีหรือมีหน้าที่ทำการสอบสวนโดยตรงแบบระบบยุติธรรมของประเทศฝรั่งเศส ย่อมเป็นสิ่งที่น่าพิจารณา มิใช่หรือ?

Nessun commento:
Posta un commento